วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์และแนวทางแก้ไข

1 ปัญหา Application Error (0xc0000005) บน Window 7

การแก้ปัญหา

กดปุ่มคีย์ลัด Windows + R สำหรับเปิดหน้าต่าง Run

แล้วพิมพ์ services.msc -> กด OK

ดับเบิ้ลคลิกหัวข้อ Windows Update ขึ้นมา

ที่ Startup Type: เลือกเป็น Disabled
Service status: เลือกเป็น Stop

แล้ว Apply -> OK ได้เลยครับ



2 ปัญหา D3DX9_43.dll (dll is Missing or Corrupt 


เมื่อไฟล์  D3DX9_43.dll หายไป (missing or corrupt) ในบางกรณีจะเกิดอาการ error ขึ้น

การแก้ปัญหา


1. แรก D3DX9_43.dll.zip 
2. extract file, ใส่ไว้ที่ D3DX9_43.dll: C:Windows\System32 (for windows XP,7,8), C:\WINNT\System32 (for windows nt & 2000)
3. เสร็จแล้ว ก็ restart เครื่อง 1 รอบ นะครับ
อ่าน "Read Me.txt" ในแฟ้ม (D3DX9_43.dll.zip)!!!

3 ปัญหา Error 0x000006d9 แชร์Printerไม่ได้ในwindows 7 และ windows 8



การแก้ปัญหา


ให้ไปที่ StartMenu ช่อง Run หรือ Search พิมพ์ services.msc
ไล่ลงไปดูที่ไฟล์ชื่อ windows firewall แล้วดับเบิ้ลคลิ๊กไฟล์ขึ้นมา ดูที่ service status : ด้านล่างจะเห็น Start-Stop-Pause-Resume ให้กด Stop แล้วก็กด Start อีกรอบลองแชร์Printerอีกรอบ

4 ปัญหา Windows Error Recovery



การแก้ปัญหา


วิธีการแก้ไขที่ 1 แก้ไขด้วยเมนู Last Known Good Configuration (Advanced) ซึ่งหัวข้อนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน ก็จะเป็นในเรื่องของการติดตั้งไดร์เวอร์ไม่ตรงรุ่น แล้วพอรีสตาร์ทเครื่องขึ้นมาใหม่ ถ้าต้องเจอกับอาการ Error จนไม่สามารถเข้าไปแก้ไขในระบบปฏิบัติการ Windows ก็ต้องเลือกหัวข้อนี้ ในการย้อนคืนข้อมูลกลับไปก่อนหน้าที่จะทำการติดตั้งไดร์เวอร์ตัวล่าสุด
วิธีที่ 2 แก้ไขด้วยการเรียกใช้งาน System Restore จากแผ่นติดตั้ง Windows 7 แต่ต้องเลือกใช้ตามระบบปฏิบัติ 32 บิต หรือ 64 บิตด้วย
แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่า System Type ของ Windows 7 ที่เราใช้งานอยู่เนี่ย เป็น 32 บิต หรือ 64 บิต
ส่วนวิธีการแก้ไขก็คลิกดูได้ตามเรื่องราวดังต่อไปนี้
วิธีที่ 3 ให้ Easy Recovery Essentials เข้ามาช่วยแก้ไขจุดบกพร่องให้
แต่ซอฟต์แวร์ Easy Recovery Essentials ที่ผมจะแนะนำอาจจะไม่โดนใจใครหลายๆคนสักเท่าไร ส่วนหนึ่งก็เพราะมันเป็นซอฟต์แวร์ที่เราต้องเสียเงินซื้อในราคา 19.75 เหรียญ ซึ่งทาง neosmart เขาก็ยืนยันว่าซอฟต์แวร์ของเขาสามารถช่วยแก้ไขอาการ Windows Error Recovery ได้จริง และมีความรวดเร็วกว่าการใช้ซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆมาช่วยแก้ไข ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ สามารถรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการได้ตั้งแต่ Windows XP จนถึง Windows Server 2012 กันเลยทีเดียว
โดยซอฟต์แวร์ Easy Recovery Essentials เมื่อเราซื้อผ่านเว็บไซต์แล้ว ก็จะต้องดาวน์โหลดไฟล์มาลงเครื่องเป็นอันดับแรก และจะเป็นไฟล์อิมเมจ .ISO ที่จะต้องนำมาเขียนลงแผ่น CD/DVD อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเรียกใช้โปรแกรม Easy Recovery Essentials ขึ้นมา ก็ให้เลือกหัวข้อ Automated Repair จะเป็นการซ่อมแซมอาการ Windows Error Recovery ให้ระบบ Windows ในเครื่องของเรานั่นเอง
แล้วตัวซอฟต์แวร์ก็จะทำการซ่อมแซมส่วนที่เสียหายให้โดยอัตโนมัติ
เมื่อสั่งรีสตาร์ทเครื่องใหม่ ก็จะสามารถเข้าสู่ระบบตามปกติได้ทันทีครับ
ท่านใดสนใจอยากใช้ Easy Recovery Essentials มาช่วยแก้ไขปัญหา Windows Error Recovery สามารถคลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://neosmart.net/EasyRE/


5 ปัญหา NET Framework Initialization Error




การแก้ปัญหา


วิธีแก้ อาการ NET Framework Initialization Error Windows 7
หลายคนเจอปัญหาแล้วหาวิธีแก้ไม่ได้ ลง NET Framework ใหม่ก็ไม่ได้
หรือลงได้ก็ไม่หาย เคลียร์แล้วลงไหม่ ก็ไม่ได้ ทำทุกวิธีแล้วไม่หายให้ทำตามนี้ครับ


ลองทำตามนี้ดูครับ
1. เปิด Notepad
2. ใส่ Code นี้ลงไป

REGEDIT4

[HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\.NETFramework]
"InstallRoot"="c:\\WINDOWS\\Microsoft.NET\\Framework\\"

3. Save ไฟล์ไปที่ C:\Reset.REG ตั้งชื่อแบบนี้เลยครับ
4. แล้วก็ไป double-clcik ที่ไฟล์ Reset.REG
5. Click 'OK' ก็ใช้ได้แล้วครับ หา AIO Runtimes (All in One Runtimes)
มา Run ลง NET Framework ได้เลยครับ
ถ้าลง NET Framework 4.0 ไม่ได้ ให้ทำตามนี้ครับ
ก่อนการติดตั้ง. NET Framework 4.0,
 1.เปิด cmd
 2.พิมพ์คำสั่ง "net stop wuauserv" (ปิดการใช้งาน Windows Update)
 3.ไปที่ Run (คุณสามารถทำได้โดยการกด  Win + R ) และพิมพ์ "% windir%" (คำสั่งนี้จะบอกให้คุณไปที่โฟลเดอร์ระบบ windows ของคุณ)
 4.ค้นหาโฟลเดอร์ "SoftwareDistribution" และเปลี่ยนชื่อเป็น "SDold"
 5.จากนั้นกลับไปที่คำสั่งก่อนหน้าของคุณ prompt และเรียกใช้คำสั่ง "wuauserv net start" (เปิดการใช้งาน Windows Update)
 6.แล้วติดตั้ง. NET Framework อีกครั้ง windows จะสร้างโฟลเดอร์ SoftwareDistribution ขึ้นมาใหม่

การติดตั้งควรใช้ AiO-Runtimes หรือลงตั้งแต่ NET Framework 1.1 ขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ ถึง 4.0 

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Internet of Things (IOT)

Internet of Things (IOT)


                    เทคโนโลยี Internet of Things (ioT) หรือ อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่งหมายถึง การที่สิ่งต่างๆ ถูกเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต ทำให้มนุษย์สามารถสั่งการ ควบคุมใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น การสั่งเปิด-ปิด อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสื่อสาร เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม อาคาร บ้านเรือน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยเทคโนโลยีนี้จะเป็นทั้งประโยชน์อย่างมหาศาล และความเสี่ยงไปพร้อมๆ กัน เพราะหากระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ดีพอ จะทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามากระทำการที่ไม่พึงประสงค์ต่ออุปกรณ์ข้อมูลสารสนเทศหรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลได้ ดังนั้น การพัฒนาไปสู่ Internet of Things จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนามาตรการและเทคนิคในการรักษาความปลอดภัยไอทีควบคู่กันไปด้วย
                    หรือบางแห่งเรียก M2M ย่อมาจากMachine to Machine คือ เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์กับเครื่องมือต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ตู้เย็น โทรทัศน์ และอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยการเชื่อมโยงช่วยให้สื่อสารกันได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จากการคาดการณ์ ในปี ค.ศ. 2020 สิ่งต่างๆ กว่าแสนล้านชิ้นจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยระบบ IoT ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วไปจะเริ่มคุ้นเคยกับเทคโนโลยีที่ทำให้พวกเขา สามารถควบคุมสิ่งของต่างๆ ทั้งจากในบ้านและสำนักงานหรือจากที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
                    ในหลายๆ ประเทศ เริ่มติดตั้งป้ายทะเบียนรถ หรือป้ายจ่ายค่าทางด่วนเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทยก็เช่นกันซึ่งจะเป็ นประโยชน์ต่อ การตรวจสอบทะเบียนรถที่วิ่งผ่าน รวมถึงยังสามารถติดตามรถสูญหายได้รวดเร็วขึ้น เพราะมีสัญญาณบอกตำแหน่งที่ตั้งของรถได้ การรักษาความปลอดภัยด้าน IT จะเน้นไปทาง "การรักษาความปลอดภัยดิจิตอล" เพื่อรองรับกับความท้าทายใหม่ๆ เช่น Internet of Things เนื่องจากแนวโน้มเช่น "Bring Your Own Device" สำหรับพนักงานที่มีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และ Internet of Things (IoT) ที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างก็จะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายในรูปแบบที่ไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน ดังนั้นกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยด้านไอทีที่เคยถูกกำหนดหรือจัดทำไว้แต่เดิม จะต้องมีการปรับเปลี่ยนขยายตัว โดยการขยายตัวนี้นักวิเคราะห์ของ Gartner แจ้งว่าจะนำไปสู่งานที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น จะมีการเพิ่มตำแหน่งงาน "เจ้าหน้าที่ประเมินความเสี่ยงดิจิตอล" ที่จะต้องมีหน้าที่คิดและกำหนดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ "นวัตกรรมดิจิตอล" ทุกชนิดที่ธุรกิจนำมาใช้เพิ่มขึ้นมา
                    บทบาทของเจ้าหน้าที่ประเมินความเสี่ยงดิจิตอล คือการประเมินทุกด้านของการเชื่อมต่อดิจิตอล รวมถึงสถานที่ที่มีการเชื่อมต่อทุกอย่างที่มาจาก IoT ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาความปลอดภัยสามารถแบ่งย่อยออกเป็นล้านๆ ส่วนได้ในกรณีที่จำเป็น นวัตกรรมดิจิตอลใดๆ จะต้องได้รับการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ประเมินความเสี่ยงดิจิตอล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถกำกับดูแลงานที่ปกติ CISO (Chief Information Security Officer) ทำอยู่ เช่น การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายองค์กรและการปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ได้
                    Gartner ยังได้ประกาศ "top trend" ด้านการรักษาความปลอดภัยสำหรับธุรกิจดิจิตอล (digital business) ด้วย โดย Gartner ได้ให้คำนิยาม digital business ว่าเป็น "การสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่โดยการทำให้ภาพของโลกดิจิตอลและโลกความจริงทางกายภาพไม่ชัดเจน" ตามที่ Earl Perkins นักวิเคราะห์ของ Gartner กล่าวไว้นั้น ธุรกิจดิจิตอลหรือองค์กรดิจิตอล "ต้องทำให้ทรัพย์สินทั้งทางกายภาพเป็นทรัพย์สินในแบบนามธรรมหรือทรัพย์สินเสมือน" เช่น ทำให้ข้อมูลและกระบวนการธุรกิจเป็นรูปแบบดิจิตอลทั้งหมด เจ้าหน้าที่ประเมินความเสี่ยงดิจิตอลจะได้รับมอบหมายให้ดูแลการรักษาความปลอดภัยทั้งด้านอุปกรณ์ทางกายภาพและข้อมูล รวมทั้ง IoT ด้วย
                    ซึ่งหมายความว่า การรักษาความปลอดภัยในปัจจุบันนี้ "อยู่ในจุดสภาวะที่ติดเชื้อ" เขากล่าว การเพิ่มการรักษาความปลอดภัย IoT คือ "พื้นที่ของคุณกำลังจะถูกโจมตีด้านระบบความปลอดภัยที่คุณไม่ทราบมาก่อนว่ามันจะมา" ซึ่งอุปกรณ์ perimeter firewall แบบเดิมจะไม่รู้จักรูปแบบมาก่อน

แนวโน้มการรักษาความปลอดภัยดิจิตอลที่สำคัญ
(Top Digital Security)


















Smart Home




Smart City






Telemedicine




วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

อาการเสียของ tablet และ วิธีการซ่อม

      1.อาการเสียของแบตเตอรี่ของ Tablet 



              นอกจากปัญหาเรื่อง แบตหมดเร็ว จะเป็นจุดอ่อนที่ผู้ใช้ทั้ง สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต กังวลแล้ว เรื่องของ แบตเสื่อมเร็ว ก็ถือว่า เป็นปัญหาที่ผู้ใช้หลายราย กำลังเผชิญอยู่ด้วยเช่นกัน มีหลายท่านที่ใช้โทรศัพท์ได้ไม่ถึงปี กลับเกิดปัญหาเรื่องของ แบตเสื่อม แถมยังโทษ สมาร์ทโฟน ที่ซื้อมาด้วยว่า ไม่ดี ใช้ไม่ทน แต่กลับไม่ได้มองว่า เรามีพฤติกรรมการใช้ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต อย่างไร ถูกต้องหรือไม่


       ในวันนี้  มีวิธีการดูแลแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง ด้วยการ "ห้ามทำ" พฤติกรรมแบบนี้ กับ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ของเรา จะมีข้อห้ามอะไรบ้าง มาชมกันเลย


การชาร์จแบตเตอรี่
การชาร์จแบตเตอรี่ ถือว่า เป็นปัจจัยหลักที่จะบ่งบอกได้ว่า แบตเตอรี่จะใช้ได้ยาวนาน หรือเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน นั้น ควรจะปล่อยให้พลังงานแบตเตอรี่ เหลือเกิน 50% จะดีที่สุด ยิ่งเราปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือ 0% บ่อยๆ ยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญ อย่าพยายามชาร์จจนเต็ม 100% เพราะนั่นก็คือเป็นสาเหตุที่ทำให้ แบตเตอรี่ค่อยๆ เสื่อมอายุลง ฉะนั้น ถ้าหากแบตเตอรี่ลดลงถึงระดับ 40% ก็ควรจะหยิบสายออกมาชาร์จกันได้แล้ว และควรจะชาร์จให้อยู่ที่ระดับ 90% นะครับ อย่าเสียบชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน หรือถ้าต้องการชาร์จให้เต็ม 100% ควรจะทำแค่เดือนละหนก็พอครับ
ความร้อน
หลายๆ ท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความร้อน คือศัตรูของแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion เลยทีเดียว ยิ่งเราทำให้ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต เย็นมากแค่ไหน ก็จะยิ่งยืดอายุของแบตเตอรี่ได้ยาวนานเท่านั้น โดยความร้อนที่ว่านี้ ไม่ได้หมายถึง การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยๆ เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงด้านการใช้งานด้วย โดยเฉพาะการเล่นเกม คงจะสังเกตเห็นกันบ้างว่า ถ้าหากเล่นเกมไปนานๆ ตัวเครื่องจะร้อนขึ้น แล้วยิ่งเล่นเกมไปชาร์จไปด้วย จะถือว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ง่ายเลยทีเดียว ฉะนั้น ขณะที่ใช้งาน ถ้าหากรู้สึกว่า ตัวเครื่องเริ่มร้อน ให้หยุดพักจนตัวเครื่องเย็น แล้วหยิบมาใช้งานต่อ จะช่วยยืดอายุได้นานครับ
อ้อ... อีกอย่างก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย จะทำให้แบตเสื่อมได้เร็วกว่า การชาร์จแบบปกติครับ เนื่องจากตัวเครื่อง จะต้องวางอยู่บนแผ่นความร้อนตลอดเวลาที่ทำการชาร์จ ฉะนั้น ถ้าเลี่ยงได้ ควรชาร์จแบตเตอรี่แบบเสียบสายชาร์จจะดีกว่า
อย่าปล่อยให้แบตหมดจนเหลือ 0%
เลข 0 คืออันตรายสำหรับแบตเตอรี่ครับ ผู้ใช้งานจะต้องคอยสังเกตด้วยว่า อุปกรณ์ของเรา เหลือแบตเตอรี่กี่เปอร์เซ็นต์ อย่าพยายามใช้จนแบตหมด และตัวเครื่องดับลงโดยเด็ดขาด เพราะแบตเตอรี่ประเภท Lithium-ion นั้น เมื่อใดก็ตามที่แบตเหลือ 0% จะเกิดอาการไม่เสถียร และเป็นอันตรายต่อการชาร์จมากทีเดียว
อย่าใช้ที่ชาร์จของปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน
คงจะได้ยินข่าวกันบ่อย เรื่อง iPhone ระเบิดขณะชาร์จ ส่วนใหญ่เป็นเพราะที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่นั้น เป็นของปลอมนั่นเอง โดยที่ชาร์จของแท้จากผู้ผลิต ปกติแล้วจะมีวงจรตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อแบตเตอรี่เต็ม 100% แต่สำหรับที่ชาร์จของปลอมนั้น จะทำการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าตลอดเวลา ทำให้ตัวเครื่องร้อน และเป็นสาเหตุทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วอีกด้วย

    เคล็ดลับ! 7 วิธีชาร์จแบตมือถือและแท๊บเล็ตอย่างถูกวิธีทำให้แบตไม่เสื่อมไว

                 คนส่วนใหญ่เมื่อซื้อมือถือหรือแท็บเล็ตมาแล้วจะไม่ประคบประหงมดูแลอย่างดี แทบทุกคนล้วนแต่พยายามเฟ้นหาวิธีที่ทำให้มือถือหรือแท็บเล็ตเครื่องที่ซื้อมาให้มันสามารถที่จะอยู่กับเราไปนานๆ และหนึ่งในปัญหาที่หลายๆคนกังวลกันก็คือ “กลัวแบตมันเสื่อมหลังจากใช้งานไปได้สักพัก” อย่างที่รู้กันว่ามือถือและแท็บเล็ตรุ่นใหม่หลายๆรุ่น ไม่สามารถที่จะถอดแบตมาเปลี่ยนเองได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงขอเสนอเคล็ดลับวิธีถนอมแบตมือถือและแท็บเล็ตกันครับ
ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ในมือถือและแท็บเล็ตกันก่อนครับ
184
โดยแบตเตอรี่ในมือถือและแท็บเล็ตส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะเป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer ทั้งสองแบบมีลักษณะการทำงานในลักษณะ “นับรอบการชาร์จ(Cycle)” แต่ไม่ได้นับเป็นจำนวนครั้งนะครับ โดยแรงดันในการชาร์จจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับก็คือ
1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ มากกว่า 65-70%
2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60%
3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%
เคล็ดลับ! 7 วิธีที่จะทำให้แบตของมือถือและแท็บเล็ตไม่เสื่อมเร็ว
low-batt
1. ควรชาร์จไฟมือถือและแท็บเล็ตก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70%(1C) จะดีที่สุดครับ แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60%(2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ครับ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ(Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) “ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว”
2. อยากจะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด(แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาดเพราะแบตมันจะพังไวมาก!!
3. ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานๆ และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้นครับ โดยค่า 40% นั้นเป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว
4. มือถือและแท็บเล็ตในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่าครับ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จมันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด
5. ควรใช้ที่ชาร์จที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอมเพราะอาจจะทำให้จ่ายไฟไม่นิ่งได้ และสิ่งที่หลายคนนั้นมองข้ามไปนั่นก็คือ สายไฟที่เราใช้ชาร์จนั่นเอง ก็ควรที่จะเป็นสายที่มีคุณภาพในการนำไฟฟ้าได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน
6. หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น เพราะอาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท๊บเลทมีปัญหาได้
7. เวลาที่จะชาร์จไฟควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อนแล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือหรือแท็บเล็ตอีกทีเพื่อป้องกันไฟกระชากครับ
2.ปลดล็อคหน้าจอแท็บเล็ต (Tablet)เกิน ทำให้เข้าไม่ได้เลย

วิธีที่ 1 >>  ปลดล็อคด้วย Google Account

  ถ้าใครเคย login google play หรือ Gmail มาก่อนเวลาเราใส่รหัสผิดหลายๆ รอบ ระบบ Android ก็จะไม่ให้เราทำการลองใส่รหัสเพื่อกัน ผู้ไม่ประสงดีจะเข้ามาขโมยข้อมูลสำคัญของเรา แต่จะให้ใส่ ชื่อ และ รหัส Gmail ที่เราเคย Login ไว้แทน ถ้าใครจำรหัสได้ก็สามารถปลดล็อคได่้ ซึ่งวิธีนี้ง่ายที่สุดและไม่ทำให้ข้อมูล หรือ App ที่เราลงไว้หายไป 

วิธีที่ 2 >>   ปลดล็อคด้วย Command ADB

อันนี้สำหรับผู้ใช้ที่มีความรู้เรื่องระบบ Android ในระดับนึง และใช้ได้สำหรับเครื่องที่เปิด USB Debug Mode ,Root เครื่องแล้ว และไม่ใส่รหัสผิดจนระบบให้ใส่ Google Account ไม่เข้าใจข้ามไปได้เลยครับ วิธีคือให้ต่อ USB เข้ากับเครื่อง PC เข้าโหมด ADB แล้วรันคำสั่งด้านล่าง ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วน ซึ่งทำอย่างใดอย่างนึง แต่ก็ได้ถ้ายังปลดไม่ได้ก็ทำอีกอย่างนึง หลังจากทำเสร็จก็จะเข้าหน้า unlock เหมือนแต่คราวนี้เราใส่รหัส Pattern อะไรก็ตามจะสามารถเข้าเครื่องแท็บเล็ตของเราได้ วิธีนี้ข้อมูลของเราก็จะไม่สูญหายเช่นกัน

ส่วนที่หนึ่ง
adb shell
cd /data/data/com.android.providers.settings/databases
sqlite3 settings.db
update system set value=0 where name='lock_pattern_autolock';
update system set value=0 where name='lockscreen.lockedoutpermanently';
.quit 
 
ส่วนที่สอง
adb shell rm /data/system/gesture.key (ดูในวิดีโอได้) 
http://www.youtube.com/watch?v=tVJ7T...layer_embedded


วิธีที่ 3 >> Upgrade Firmware ใหม่

วิธีนี้ง่ายรองลงมาจากวิธีที่ 1 แต่ต้อง upgrade firmware เป็นและต้อง up ให้ถูกกับรุ่นที่ใช้ สำหรับแท็บเล็ตที่ใช้ CPU Allwinner A13 นั้นมี Firmware เยอะมากๆ ถ้า Up ผิดเครื่องอาจบูตไม่ขึ้นหรือ ใช้ไม่ได้นะครับอันนี้ต้องระวัง วิธีการก็ให้ไปดูวิธีการ upgrade ของเครื่องรุ่นนั้นๆ ครับผม รุ่นที่ทางเว็บเราขายอยู่ก็จะมีตัว firmware และวิธีการ upgrade แต่ละรุ่นใน Gadgetdoor forum ของเราครับ http://forum.gadgetdoor.com/ แต่สำหรับท่านที่ไม่สามารถหา firmware ได้และไม่รู้วิธี กลัวเครื่องเสีย ก็ลองไปดูวิธีที่ 4 ได้ครับ


วิธีที่ 4 >>  Factory Data Reset ผ่าน Recovery Mode

สำหรับการ factory data reset หลายคนคงจะรู้ว่ามันเป็นการคืนค่าเริ่มต้นของโรงงานซึ่งหมายความว่าจะสามารถใช้งานเแท็บเล็ตได้แต่ข้อมูล และ Application จะหายหมด โดยปกติต้องเข้าไปทำได้จากเมนูการตั้งค่าบนระบบ Android แต่ในเมื่อเรายัง unlock หน้าจอไม่ได้ก็หมายความว่าเราต้องใช้วิธีอื่นครับ นั่นก็คือทำผ่าน Recovery Mode อันนี้ถ้าเครื่องไหนมี Recovery โหมดอยู่แล้วก็สามารถทำได้เลยเช่น แท็บเล็ตของ ONDA , Ainol บางรุ่น , sหรือ Smart Phone หลายๆ รุ่นที่ต้อง upgrade firmware ผ่าน Mode นี้อยู่แล้ว อย่าแท็บเล็ต Ainol บางรุ่นสามารถเข้าได้โดยการกดปุ่ม + ค้างไว้ และปุ่ม Power ประมาณ 3 - 4 วินาที ซึ่งวิธีเข้า Recovery Mode นั้นแล้วแต่รุ่นครับอาจจะมีวิธีไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเครื่องของคุณ ไม่มี Recovery Mode จะทำยังไง? คำตอบคือเราพอมีทางยัด Recovery Mode ลงไปในเครื่องของคุณได้ครับแต่เครื่องของเราต้องเปิด debug mode ไว้อยู่แล้ว ตัวนี้จะเป็น Clock Work MOD Recovery โดยทำการ Download และ Run Script ตามขั้นตอนด้านล่างได้เลย

1)  ต่อ Tablet เข้า PC เพื่อเข้า debug mode
2)  download tool CWM Recovery ตาม link นี้https://spideroak.com/share/KNQW243VNZTUGYLMNRUXG5DP/manta_mid08/home/willing/Android/Builds/Manta/Recovery/CWM_Recovery_Manta_MID08_windows_install.zip และ unzip จะได้ folder "CWM_Recovery_Manta_MID08_windows_install"
3)  เข้าไปที่ folder path "CWM_Recovery_Manta_MID08_windows_install
   - Run Install_recovery.bat
   - Run ฟ๑Jrecovery_for_ICS.bat
   - Run Boot_to_recovery.bat
4. เครื่องจะ boot เข้าสู่ Recovery Mode > ให้มองหาและเลือกหัวข้อที่มีคำว่า factory data reset  > เลือก Yes
5. Reboot 
3.กล้องหยุดทำงาน / ไม่ชัดเบลอกว่าปกติ / เปิดกล้องไม่ได้

ให้ลองทำการ factory reset ดูก่อนครับโดยเข้าไปที่การตั้งค่า>การสำรองข้อมูลและการรีเซ็ต>รีเซ็ตข้อมูลเป็นค่าเริ่มต้น>ตกลงถ้าทำข้างต้นหมดแล้วยังไม่หายให้ทำการลง firmware ใหม่ครับ โดยสามารถส่งเมลล์มาขอได้ที่ support@gadgetdoor.com หรือ สามารถนำเครื่องเข้ามาให้ทางร้านลงfirmwareใหม่ให้ได้ครับ

4.ไม่เจอ sd card ทั้งๆที่โทรศัพท์,คอมพิวเตอร์,สมาร์ทโฟนและอื่นๆ เจอหมดเลย

น่าจะเป็นที่ sd card เสียครับ ลองเปลี่ยน sd card ตัวอื่นมาใส่ดูก่อนถ้าไม่หายแสดงว่าไม่ได้เป็นที่ sd card ห้ลองทำการ factory reset ดูก่อนครับโดยเข้าไปที่การตั้งค่า>การสำรองข้อมูลและการรีเซ็ต>รีเซ็ตข้อมูลเป็นค่าเริ่มต้น>ตกลงถ้าทำข้างต้นหมดแล้วยังไม่หายให้ทำการลง firmware ใหม่ครับ โดยสามารถส่งเมลล์มาขอได้ที่ support@gadgetdoor.com หรือ สามารถนำเครื่องเข้ามาให้ทางร้านลงfirmwareใหม่ให้ได้ครับ และถ้ายังเป็นอยู่ให้ส่งเครื่องมาให้ช่างตรวจสอบได้เลยครับ 

5.เครื่องไม่ยอมหมุนหน้าจอ / เอียงซ้ายขวาไม่ได้

ต้องเช็คดูก่อนว่าเราไปปิดโหมดหมุนหน้าจอไว้รึป่าวถ้าไม่ได้ปิด ให้ลองไปดูที่ การตั้งค่า > การแสดงผล > Accelerrometer แล้วลองปรับดูครับ ถ้ายังไม่หายให้ลองทำการ factory reset ดูก่อนครับโดยเข้าไปที่การตั้งค่า>การสำรองข้อมูลและการรีเซ็ต>รีเซ็ตข้อมูลเป็นค่าเริ่มต้น>ตกลงถ้าทำข้างต้นหมดแล้วยังไม่หายให้ทำการลง firmware ใหม่ครับ โดยสามารถส่งเมลล์มาขอได้ที่ support@gadgetdoor.com หรือ สามารถนำเครื่องเข้ามาให้ทางร้านลงfirmwareใหม่ให้ได้ครับ 



ขอขอบคุณ : http://www.whatphone.net/ และ http://www.tnews.co.th/html/content/94357/ และ http://www.gadgetdoor.com/blog/entry/108-fit-tablet-newbie.html

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

ส่วนประกอบ Tablet และซอฟแวร์

ส่วนประกอบของ Tablet

           คอมพิวเตอร์พกพา  (Tablet) เรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะการทำงานทุกอย่างไว้บนจอสัมผัสโดยใช้ปากกาสไตลัส ปากกาดิจิตอล หรือปลายนิ้ว เป็นอุปกรณ์นำเข้าพื้นฐาน แทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ อาจจะมีคีย์บอร์ดและเมาส์อยู่หรือไม่มีก็ได้
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet)มีการผลิตขึ้นมาจำหน่ายจากหลายบริษัท และหลากหลายจำนวนรุ่น มีขนาดความกว้างหน้าจอที่แตกต่างกันไป รวมถึงหน่วยประมวลผลกลาง และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่แต่ละบริษัทได้นำจุดเด่นของตนมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการแข่งขันทางการค้า ดังนั้นลักษณะหรือองค์ประกอบของแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ จะประกอบด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ ของตัวเครื่องแตกต่างกันไปตามเทคโนโลยีการออกแบบของแต่ละบริษัท ส่วนประกอบบางอย่างอาจจะไม่มีในคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) ของบริษัทหนึ่งแต่อาจจะมีในคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet)อีกบริษัทก็ได้ ในเอกสารฉบับนี้จะขอยกตัวอย่างภาพประกอบของคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) ยี่ห้อ SAMSUNG รุ่น GT-P7500 (Galaxy Tab 10.1)
002001

  1. ปุ่มเปิด-ปิด / ล็อก การเปิดเครื่องให้กดค้างไว้ การปิดเครื่องให้กดค้างไว้และเลื่อนเมนูที่หน้าจอ
ไปยังเมนู ปิดเครื่อง การล็อก ให้กดค้างไว้
  1. ปุ่มระดับเสียง ใช้เพิ่มหรือลดเสียง สามารถแยกระดับเสียงของระบบมัลติมีเดีย หรือระบบเสียง
การตั้งปลุกได้
  1. ลำโพง
  2. เซ็นเซอร์แสง ตัวจับระดับความเข้มของแสง เพื่อรับค่าของแสงให้กับโปรแกรมที่อยู่ภายใน
เครื่องสามารถเพิ่มหรือลดความสว่างแสงของหน้าจอได้อัตโนมัติ
  1. ตัวเสียบที่ใช้งานได้หลายฟังก์ชั่น เป็นจุดเชื่อมต่อการชาร์ตแบตเตอรี่ให้กับเครื่อง และยังสามารถ
เพิ่มอุปกรณ์เสริมเข้าไปจะสามารถเชื่อมต่อ USB และ SD Card เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ หรือต่อเข้ากับระบบ TV และ Projector ได้
  1. ช่องใส่ SIM โทรศัพท์ ใส่ซิมโทรศัพท์เพื่อใช้เล่น 3G
  2. ช่องเสียบหูฟัง เป็นช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 mm ที่เป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์
พกพา (Tablet)
  1. เลนส์กล้องถ่ายรูปด้านหน้า ใช้เพื่อเป็นกล้องหน้าสำหรับถ่ายภาพหรือเป็นกล้อง Conference
ในระบบ 3G ได้ คุณภาพของกล้องด้านหน้าโดยส่วนใหญ่จะมีความละเอียดของภาพไม่ดีเท่ากับกล้องด้านหลัง
  1. ไมโครโฟน ตัวรับเสียงสำหรับ Conference ในระบบ 3G หรือประโยชน์ในการบันทึกเสียง
  2. เลนส์กล้องถ่ายรูปด้านหลัง ใช้เพื่อสำหรับถ่ายภาพ บางรุ่นจะมีแฟลชมาพร้อม
11.สายอากาศที่ติดตั้งอยู่ ภายในโทรศัพท์
12.ไฟแฟลช สำหรับกล้องถ่ายรูปด้านหลัง
อุปกรณ์พื้นฐานของคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet)อาจจะแตกต่างจากรายละเอียดที่นำเสนอในเอกสารเล่มนี้ ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต หากมีส่วนอุปกรณ์มากขึ้น ต้นทุนในการผลิตคอมพิวเตอร์พกพา (Tablet) นั้นก็จะสูงตามไปด้วย ประกอบกับระบบปฏิบัติการที่ใช้นั้นจะรองรับหรือเข้ากันได้กับอุปกรณ์ได้หรือไม่ จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการผลิต
                       
                     ซอฟแวร์ใน Tablet
    

 แอนดรอยด์ 

        android) เป็นระบบปฏิบัติการที่มีพื้นฐานอยู่บนลินุกซ์ ถูกออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้จอสัมผัส เช่นสมาร์ตโฟน และแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ (Android, Inc.) ซึ่งต่อมา กูเกิล ได้ทำการซื้อต่อบริษัทในปี พ.ศ. 2548 แอนดรอยด์ถูกเปิดตัวเมื่อ ปี พ.ศ. 2550 พร้อมกับการก่อตั้งโอเพนแฮนด์เซตอัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มของบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสารคมนาคม ที่ร่วมมือกันสร้างมาตรฐานเปิด สำหรับอุปกรณ์พกพาโดยสมาร์ตโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เครื่องแรกของโลกคือ เอชทีซี ดรีม วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2551
      แอนดรอยด์ (Android) คือระบบปฏิบัติการแบบเปิดเผยซอร์ฟแวร์ต้นฉบับ (Open Source) โดยบริษัท กูเกิ้ล (Google Inc.) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ มีจำนวนมาก อุปกรณ์มีหลากหลายระดับ หลายราคา รวมทั้งสามาถทำงานบนอุปกรณ์ที่มีขนาดหน้าจอ และความละเอียดแตกต่างกันได้ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามต้องการ
     บริษัทวิจัย Kantar เผยแพร่ผลสำรวจสะท้อนยอดขายอุปกรณ์พกพาใน 9 ตลาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งผลสำรวจก็ยังคงเป็น Android ที่ครองอันดับหนึ่งทุกพื้นที่เหมือนเดิม และต้องปรบมือให้ Windows Phone ที่มียอดสูงขึ้นในตลาดโมบาย
บริษัทวิจัยการตลาด Kantar ทำการสำรวจตลาดหลัก 9 แห่งของโลก ได้แก่ ออสเตรเลีย, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมันนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, สเปน, อเมริกา และอังกฤษ ซึ่งผลที่ได้ก็แสดงให้เห็นว่า Android ครองส่วนแบ่งไป 64.2% ของยอดขายอุปกรณ์พกพาในไตรมาสแรกของปีนี้
ประวัติความเป็นมา
    เริ่มต้นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ถูกพัฒนามาจากบริษัท แอนดรอยด์ (Android Inc.) เมื่อปี พ.ศ 2546 โดยมีนาย แอนดี้ รูบิน (Andy Rubin) ผู้ให้กำเนิดระบบปฏิบัติการนี้ และถูกบริษัท กูเกิ้ล ซื้อกิจการเมื่อ เดือนสิงหาคม ปี พ.ศ 2548 โดยบริษัทแอนดรอยด์ ได้กลายเป็นมาบริษัทลูก ของบริษัทกูเกิ้ล และยังมีนาย แอนดี้ รูบิน ดำเนินงานอยู่ในทีมพัฒนาระบบปฏิบัติการต่อไป
ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากการนำเอา แกนกลางของระบบปฏิบัติการลินุกซ์ (Linux Kernel) ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเป็นเครื่องให้บริการ (Server) มาพัฒนาต่อ เพื่อให้กลายเป็นระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพา (Mobile Operating System)

รุ่นต่างๆ ของแอนดรอยด์
    หลังจากที่บริษัท กูเกิ้ล ได้ซื้อบริษัท แอนดรอยด์ และได้มีการก่อตั้งสมาคม สมาคม OHA (Open Handset Alliance) เป็นที่เรียบร้อย ทางกูเกิ้ลก็ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ขึ้นมาเป็นลำดับ โดยพอสังเขป ได้ดังนี้
Android Phone ที่ ใช้ Android(แอนดรอยด์) 1.5 จะมีความสามารถหลักๆดังนี้ควบคุมด้วย Touch Screen
  • ใช้นิ้วแตะเพื่อควบคุมการทำงานมือถือ
ใช้บริการ Google Service
  • Web Search
  • Gmail
  • Calendar
  • Google Map
Social Network ใช้บริการ Social Network ผ่าน App ที่น่าสนใจหลายเว็บ
  • Facebook for Android
  • Twitter for Android
การติดตั้ง โปรแกรมลงใน Android Phone
  • ลงโปรแกรมผ่าน Android Phone ผ่านส่วนเชื่อมต่อที่เรียกกว่า Android Market Placeกล้องถ่ายรูป และ ถ่ายวีดีโอ ได้
  • Upload วีดีโอขึ้น Youtube.com และ รูปถ่ายไปยัง Picasa ได้จาก Android(แอนดรอยด์) Phone โดยตรง
ระบบเดาคำศัพท์ Text-Prediction
  • ช่วยในการพิมพ์ โดย Android Phone จะช่วยเดาว่าเรากำลังพิมพ์คำว่าอะไร เพื่อลดเวลาในการพิมพ์ข้อความ
Bluetooth
  • รองรับ Bluetooth A2DP / AVRCP
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ Bluetooth Handfree อัตโนมัติ(เชื่อมต่อครั้งแรกต้อง Paire Device เหมือนมือถืออื่นๆ)
Home Screen
  • สามารถวาง Widget (หน้าต่างเล็กๆเพื่อโชว์การทำงานของ App เช่น โชว์ภาพถ่าย โชว์หน้าต่างเล่นเพลง แบบ Winamp
Android Phone ที่ลงระบบ Android 1.6 
Web History / contact list Search


  • เพิ่มการค้นหาในสถิติการใช้งานเว็บไซต์ และรายชื่อ contacts ใน Android Phone

Android(แอนดรอยด์) Phone พูดได้ Text-to-Speech
  • Android Phone สามารถพูดตามข้อความได้(text-to-speech) เช่นการอ่านข้อความ sms โดยเราไม่จำเป็นต้องอ่านเอง
Voice Control
  • โทรออกด้วยเสียง
  • Google Search ด้วยเสียง

 Android 2.0/2.1 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 1.6 ดังนี้
Performance


  • ปรับปรุงความเร็วในการทำงานของ Android ให้เร็วยิ่งขึ้น
  • ปรับปรุง User Interface
  • ปรับปรุง รายการติดต่อ(Contact Lists)
  • ปรับปรุงการแสดงผล ขาว-ดำ
  • ใช้งาน Multi-Touch Screen ได้
  • ปรับปรุง คีย์บอร์ดเสมือน(คีย์บอร์ดบนหน้าจอ)
Internet Browser
  • ปรับปรุง Internet Browser และพัฒนารองรับเทคโนโลยี HTML5
Google Service
  • ใช้ Google Maps 3.1.2
  • รองรับ Microsoft Exchange
Camera
  • รองรับการใช้ Flash สำหรับการถ่ายรูป
  • กล้องถ่ายรูป ซูมระดับดิจิตอลได้
Home Screen
  • Live Wallpapers (วอลล์เปเปอร์ แบบเคลื่อนไหวและตอบสนองการกดหน้าจอได้ เช่น หน้าจอแบบพื้นน้ำ)
Bluetooth
    • รองรับ Bluetooth 2.1
Android(แอนดรอยด์) 2.2 (Froyo)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 2.2 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 2.1 ดังนี้
Performance
  • การทำงานของ Android Phone เร็วขึ้น 5 เท่า
  • รองรับการลงโปรแกรมลงใน Memory Card
  • เปลี่ยนภาษาบน keyboard Android Phone ได้ง่ายๆ
Internet Tethering
  • ใช้ Android Phone เป็นโมเด็มสำหรับต่ออินเตอร์เน็ตให้คอมพิวเตอร์ได้(Tethering)
  • แปลงร่าง Android Phone เป็น Wifi Hotspot
Internet Browser
  • รองรับการใช้ Adobe Flash 10.1 (ทำงานเร็วขึ้น)
  • Brower ใหม่ใช้ความสามารถของ Chrome และ JavaScript Engine
  • Browser ใช้งาน file upload ได้
Google Service
  • ปรับปรุงความสามารถ Microsoft Exchange สามารถ sync ปฏิทินได้
Bluetooth
  • โทรออกด้วยเสียงผ่าน Bluetooth
Android(แอนดรอยด์) 2.3 
Performance
  • การทำงานของ Android Phone เร็วขึ้น 6 เท่า
  • CPU ความเร็วอย่างน้อย 1 GHz Up 
  • รองรับการลงโปรแกรมลงใน Memory Card
  • เปลี่ยนภาษาบน keyboard Android Phone ได้ง่ายๆ
  • Touch screnn multi touch
Internet Tethering
  • ใช้ Android Phone เป็นโมเด็มสำหรับต่ออินเตอร์เน็ตให้คอมพิวเตอร์ได้(Tethering)
  • แปลงร่าง Android Phone เป็น Wifi Hotspot
Internet Browser
  • รองรับการใช้ Adobe Flash 10.1 (ทำงานเร็วขึ้น)
  • Brower ใหม่ใช้ความสามารถของ Chrome และ JavaScript Engine
  • Browser ใช้งาน file upload ได้
  • รองรับ HTML 5
Google Service
  • ปรับปรุงความสามารถ Microsoft Exchange สามารถ sync ปฏิทินได้
Bluetooth
  • โทรออกด้วยเสียงผ่าน Blueto
Android(แอนดรอยด์) 3.0 (Honeycomb)

Android Phone ที่ลงระบบ Android 3.0 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 2.3 ดังนี้

การแสดงผล
  • รองรับการแสดงผลแบบ 3D สามมิติ
  • อินเทอร์เฟซแบบใหม่เรียกว่า “Holographic” โดยเพิ่มฟีเจอร์ด้าน 3D
Performance
  • ปรับปรุงการทำงานให้เร็วขึ้น
  • ปรับปรุงระบบ Multi-Tasking
  • การสั่งงานผ่านเมนูที่ถูกซ่อนไว้จะถูกเปลี่ยนเป็น button bar ให้เห็นปุ่มชัดๆ
Internet Browser
  • ปรุงเบราว์เซอร์ให้รองรับ Tablet
  • สามารถ sync กับ Chrome Bookmarks ได้
Google Service
  • สามารถใช้งาน Google eBooks
  • รองรับการใช้งาน Google Talk ที่สนทนาผ่านวิดีโอได้
ด้านอื่นๆ
  • สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์ที่ไม่มีปุ่มจริงเช่น Tablet เพราะออกแบบมาให้รองรับ Virtual Buttons

แอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich

ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich ครับโดยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich นั้น ทาง Google ได้ปูทางเอาไว้ให้ใช้ได้กับทั้ง สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ภายในระบบปฏิบัติการเดียว ไม่เหมือนกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 Honeycomb ที่ใช้งานได้เฉพาะแต่ แท็บเล็ต เท่านั้น นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich ยังเป็นแบบ Open source ที่เปิดทางให้กับนักพัฒนา เข้ามาสร้างแอพพลิเคชั่นเพื่อรองรับ และพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwichต่อไปในอนาคต ส่วนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 Ice Cream Sandwich จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม และมีอะไรใหม่ๆ 

 ข้อเด่นของแอนดรอยด์

      เนื่องจากระบบปฏิบัตการแอนดรอยด์มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีส่วนแบ่งตลาดของอุปกรณ์ด้านนี้ ขึ้นทุกขณะ ทำให้กลุ่มผู้ใช้งาน และกลุ่มนักพัฒนาโปรแกรม ให้ความสำคัญกับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เพิ่มมากขึ้น
     เมื่อมองในด้านของกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัทที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ได้มีการนำเอาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ไปใช้ในสินค้าของตนเอง พร้อมทั้งยังมีการปรับแต่งให้ระบบปฏิบัติการมีความสามารถ การจัดวาง โปรแกรม และลูกเล่นใหม่ๆ ที่แตกต่างจากคู่แข่งในท้องตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มสินค้าที่เป็น มือถือรุ่นใหม่ (SmartPhone) และอุปกรณ์จอสัมผัส (Touch Screen) โดยมีคุณลักษณะแตกต่างกันไป เช่นขนาดหน้าจอ ระบบโทรศัพท์ ความเร็วของหน่วยประมวลผล ปริมาณหน่วยความจำ แม้กระทั่งอุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ(Sensor)
    หากมองในด้านของการพัฒนาโปรแกรม ทางบริษัท กูเกิ้ล ได้มีการพัฒนา Application Framework ไว้สำหรับนักพัฒนาใช้งาน ได้อย่างสะดวก และไม่เกิดปัญหาเมื่อนำชุดโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมา ไปใช้กับอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะต่างกัน เช่นขนาดจออุปกรณ์ ไม่เท่ากัน ก็ยังสามารถใช้งานโปรแกรมได้เหมือนกัน เป็นต้น

ระบบปฏิบัติการ IOS


ประวัติความเป็นมา

          ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) มีชื่อเดิมว่า iPhone OS เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวของ iPhone เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟน (Smartphone) ของแอปเปิล โดยเริ่มต้นพัฒนาสำหรับใช้ในโทรศัพท์ iPhone และได้พัฒนาต่อใช้สำหรับ iPot Touch และiPad โดยระบบปฏิบัติการนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังแอ็ปสตอร์สำหรับการเข้าถึงถึงแอพพลิเคชั่น(Application) มากกว่า 300,000 ตัว ซึ่งมีการดาวน์โหลดไปมากกว่าห้าพันล้านครั้ง แอปเปิลได้มีการพัฒนาปรับปรุงสำหรับ iPhone, iPad และ iPod Touch ผ่านทางระบบ iTunes คือโปรแกรมฟรี สำหรับ Mac และ PC ใช้ดูหนังฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งจัดระเบียบและ sync ทุกๆอย่าง และเป็นร้านขายความบันเทิงบนคอมพิวเตอร์, บน iPod touch, iPhone และ iPad ที่มีทุกๆอย่างสำหรับคุณ ในทุกที่และทุกเวลา พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยให้มีความเป็นเลิศ ซึ่งนี้คือข้อได้เปรียบ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

รุ่นของ IOS

ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 1.x
เริ่มต้นปล่อย OS เข้าสู่ตลาด
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 2.x
          เป็นการปล่อย ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) รุ่นที่สอง ที่ใช้ได้กับการเปิดตัวของ iPhone 3G โดยอุปกรณ์ที่ใช้ 1.x จะเลื่อนไปรุ่นนี้ รุ่นของ OS ที่จะแนะนำที่ App Store ทำให้สามารถใช้ได้กับ iPhone และ iPod Touch แต่หลังจากที่มีอัพเกรดครั้งใหญ่ใน ระบบปฏิบัติการไอโอเอส(iOS) 4 Apple ได้ยกเลิก ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย iPhone และ iPod Touch ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 2 นั้นจะไม่สามารถเข้าไปใช้งาน App Store ได้ ซึ่งสำหรับผู้ที่ใช้ iPod Touch รุ่นเก่าที่ไม่ได้ปรังปรุงระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 3.0 นั้นจะไม่สามารถใช้งาน App Store ได้
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 3.x
          ใช้ได้กับ iPhone 3GS มันถูกปล่อยออกเมื่อ 17 มิถุนายน 2552 รุ่นนี้จะเพิ่มคุณสมบัติที่ต้องการมากขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ 2.x ถูกอัพเกรดเป็น ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 3.xนี้ สำหรับการสนับสนุน ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)3 ของ Apple นั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงปีหน้าที่ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)5 ได้ทำการเปิดตัว และเมื่อ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)5 ได้ทำการเปิดตัวนั้นก็คงจะเป็นจุดจบของ iPhone และ iPod Touch รุ่นที่ไม่สามารถอัพเกรดเป็น ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)4 ได้
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (IOS) 4.x
         ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 4 มีการให้บริการแก่ประชาชนสำหรับ iPhone และ iPod touch เมื่อ 21 มิถุนายน 2554 นี้เป็นครั้งแรก ปล่อย iOS ที่สำคัญที่สนับสนุนสำหรับอุปกรณ์บางอย่าง คือ iPhone 3G และ iPhone 4, 3GS iPhone, iPod และ iPod touch 4 สำหรับ iPad ได้ถูกเพิ่มเข้ามาด้วยการเปิดตัวของ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส(IOS) 4.2.1 เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2554
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 5.x
          แอปเปิลประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 5.0 ขึ้นมา โดยมีฟีเจอร์ใหม่ร่วม 200 รายการ ระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 5 จะพร้อมให้ดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ในช่วงประมาณเดือนกันยายน 2554 อุปกรณ์ที่จะสามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)เวอร์ชั่น 5 นี้ ได้แก่ iPhone 4 ,iPhone 3GS ,iPad 2 ,iPad, iPod touch 4 ,iPod touch 3 โดยมีความโดดเด่นคือ ระบบ iCloud ซึ่งเป็นระบบซิงก์ข้อมูลอัตโนมัติแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์ต่างๆผ่านศูนย์ข้อมูลของ Apple ซึ่งให้บริการฟรี เช่น iTunes wifi sync ทำการซิงก์ข้อมูลกับโปรแกรม iTunes โดยไม่ต้องต่อสาย และสามารถทำการซิงก์อัตโนมัติขณะไม่ใช้งานเครื่อง , Airplay mirror ส่งภาพจากหน้าจอไปปรากฏบนหน้าจอทีวีใหญ่ผ่านเครื่อง , Apple TV PC free ไม่ต้องต่ออุปกรณ์เข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งาน เช่นเมื่อซื้ออุปกรณ์มาใหม่ สามารถเปิดใช้งานได้เลยไม่ต้องต่อเข้าซิงก์กับคอมพิวเตอร์ที่มี iTunes อีก นอกจากนี้ยังสนับสนุนการดาวน์โหลดอัพเดทโปรแกรมและระบบแบบไร้สาย หรือ OTA โดยไม่ต้องต่ออุปกรณ์เข้ากับคอมพิวเตอร์, สนับสนุนการอัพเดทโปรแกรมแบบ Delta update คือการดาวน์โหลดเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนไปจากโปรแกรมเวอร์ชันเดิมโดยไม่ต้องโหลดใหม่หมดทั้งโปรแกรม ช่วยลดระยะเวลาการดาวน์โหลด
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 6.x
          iOS 6 ได้ประกาศเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 ณ ของ Apple WWDC เหตุการณ์ปราศรัย 2012 มีอยู่มากกว่า 200 คุณสมบัติใหม่ใน iOS 6 ได้แก่ หน้าซอฟต์แวร์ทำแผนที่แอปเปิลใหม่ เปิดโดยเปิดนำร่องการจราจรและสะพานลอย, สิริสนับสนุนiPad Generation, 3 กีฬาภาพยนตร์และร้านอาหารของ Facebook บูรณาการ (คล้ายกับTwitte rบูรณาการใน iOS 5) โพสต์โดยตรงไปยัง Facebook, รายชื่อ, ปฏิทิน Apps และชอบและเพลงที่ใช้ร่วมกันภาพ Stream สิ่งอำนวยความสะดวก App โทรศัพท์ใหม่, iCloud แท็บใน Safari , สิ่งอำนวยความสะดวก Accessablity ใหม่

ตารางแสดงข้อมูลรุ่น/เวอร์ชันของ IOS

Ver

คุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ IOS

หน้าจอหลัก (Home screen)
เป็นส่วนแสดงข้อมูลที่ประกอบด้วย application ที่มีบนเครื่อง ซึ่ง Application เหล่านี้รองรับการทำงานในระบบปฏิบัติการiOS  สามารถดาวน์โหลดหรือซื้อได้ที่ Apple’s store หรือผ่านเว็บไซต์ของแอปเปิลได้โดยตรง การใช้งานทำได้ง่ายและสะดวกเพียงนำนิ้วจิ้มหรือแตะไปที่รูปไอคอนที่ต้องการใช้งาน
i1
แฟ้มข้อมูล (Folders)
iOS 4 การแนะนำของระบบโฟลเดอร์ที่เรียบง่ายมา เมื่อใช้งานอยู่ในโหมด “กระตุก” ใด ๆ สองสามารถลากด้านบนของแต่ละอื่น ๆ เพื่อสร้างโฟลเดอร์และจากนั้นมาปพลิเคชันเพิ่มเติมสามารถเพิ่มลงในโฟลเดอร์โดยใช้ขั้นตอนเดียวกันได้ถึง 12 บน iPhone และ iPod touch และ 20 ใน iPad ชื่อสำหรับโฟลเดอร์ที่ถูกเลือกโดยอัตโนมัติตามประเภทของการใช้งานภายใน แต่ชื่อยังสามารถแก้ไขได้โดยผู้ใช้
i2
การแจ้งเตือน (Notification)
ใน iOS 5 ปรับปรุงคุณลักษณะการแจ้งเตือนที่ถูกออกแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้การทำงานรวดเร็วและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น
i3

เปรียบเทียบการใช้งานระหว่างระบบปฏิบัติการ IOS กับ ANDROID

iOS เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Apple  ซึ่งใช้ในผลิตภัณฑ์ที่บริษัท Apple เป็นผู้ผลิต อุปกรณ์สื่อสารภายใต้ยี่ห้อ Apple  เช่น iPod, iPad และ iPhone
51
ข้อดี คือ มี Application หลากหลาย มีบริการ App Store และโปรแกรม iTunes สนับสนุนการจัดการอุปกรณ์มีเมนูการใช้งาน รวดเร็วและเข้าใจง่าย  โปรแกรม Web Browser (Safari) ตอบสนองได้รวดเร็ว
 ข้อเสีย คือ ผู้ใช้งานไม่สามารถออกแบบปรับเปลี่ยนหน้าจอได้ตามความต้องการ ไม่สามารถทํางานได้พร้อมๆ กันหลายอย่าง เช่น ไมสามารถฟังเพลงพร้อมเปิด Web Browser เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตได้
REVIEW TABLET

เครดิต :
https://beerkung.wordpress.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-ios/

https://panomkorn.wordpress.com/2013/07/26/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-android/

https://www.youtube.com/watch?v=WaDQjqF3BXU
ที่มาภาพ : จากเอกสารคู่มือการใช้งาน Samsung Galaxy Tab 10.1